.
ผมก็นั่งเล่นกับแมวและรอท่านขายของจนกว่าจะปิดร้านเสร็จเพื่อจะรอช่วยท่านเก็บของกลับบ้าน
.
คนยุคเก่าที่ไม่ค่อยจะมีเงินซื้อโทรศัพท์นั้น ก็จะใช้โทรศัพท์แบบกดปุ่มธรรมดา ทำให้ช่วงเวลาที่นั่งรอนั้น ก็จะไม่ได้เห็นการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นอะไรอย่างที่มักจะเห็นๆกันในปัจจุบัน
.
ซึ่งในขณะเวลานั้นผมก็ไม่ได้นำโทรศัพท์ลงไปด้วย
.
ทำให้ช่วงเวลาเกือบ 2 ชม. ดังกล่าวของผมรู้สึกหยุดและจิตใจไม่ได้ฟุ้งซ่านเหมือนตอนที่เรามีโทรศัพท์ติดตัว
.
ผมก็นั่งคุยสารทุกข์สุขดิบกับท่านไปเรื่อยๆตลอดระยะเวลาของการสนทนาที่ไม่ได้มีการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น
.
มันทำให้ผมคิดและมองอะไรช้าลงไปและทำให้ผมคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ
.
มันทำให้ผมรู้สึกว่าจริงๆแล้วแค่เราอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจเรานั้น ความสุขมันก็เกิดขึี้นมาได้ โดยที่เราไม่ต้องไปสรรหามาเพิ่มได้เหมือนกัน
.
อย่างในสมัยตอนที่ผมเป็นเด็ก ที่ผมสามารถที่จะเลี้ยงลูกฟุตบอลบริเวณลานหน้าบ้านเป็นเวลา 3-4 ชม.ทุกวันหลังเลิกเรียนโดยที่ไม่ได้พูดกับใคร
.
วิ่งไปความสงบก็ทำให้มีความสุขเหมือนกับว่าไม่อยากจะหยุดวิ่ง และไม่ต้องการสิ่งอื่นใดในขณะเวลา่นั้น
.
อย่างที่พระท่านมักจะบอกว่าไม่มีอะไรสู้ความสงบได้
.
บางทีเราวิ่งหาความสุขจากภายนอกเพื่อเอามาเติมเต็มภายใน
.
ความเป็นจริงแล้วนั้น ความสุขของเราไม่ได้อยู่ไกล ความสุขของเราอยู่ที่ภายในจิตใจของเราเอง
.
อยู่กับปัจจุบันและลมหายใจของเราเอง
.
เราก็แค่หาวิธีที่จะไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้น ถ้าความทุกข์หมดไปแล้วความสุขก็คงจะเหมือนลมที่วิ่งเข้ามาหาตัวเราเอง โดยที่เราไม่ต้องไปไขว่คว้าที่ไหนไกล
.
เพราะลมมีอยู่ทุกที่เพียงแต่มันจะวิ่งไปในที่ที่เหมาะสมกับมันก็เท่านั้น.

คุณานนต์ ไข่มุกข์
21-06-63
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น