เมื่อผู้เขียนเรียนจบมหาวิทยาลัยผู้เขียนก็เป็นเหมือนหลายๆท่านที่ได้โยนหนังสือทิ้งไปจนวันหนึ่งผู้
เขียนต้องกลับมารื้อฟื้นความรู้ต่างๆเพื่อนำไปใช้ในการทำงาน
.
ในขณะที่ผู้เขียนอ่านหนังสือทำให้ผู้เขียนย้อนนึกไปถึงสมัยตอนเรียนมหาวิทยาลัย ถึงพระคุณของ
อาจารย์ที่สั่งสอน ถ่ายทอดวิชาความรู้จนทำให้การทบทวนเนื้อหาของผู้เขียนนั้นไปได้ค่อนข้าง
คล่องไม่ติดขัดสงสัย จนทำให้ผู้เขียนรู้สึกขอบคุณตัวเองที่ได้ตั้งใจเรียนตั้งแต่เด็กจนโต
.
ในความเห็นของผู้เขียนนั้นการศึกษานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งที่ต้องยึดถือเป็นแนวทางไว้เพราะ
การศึกษานั้น "สามารถยกระดับจิตใจได้ "
.
ในบทความนี้ผู้เขียนอยากจะแนะนำแนวทางการเรียนของผู้เขียน+สิ่งที่ได้เรียนรู้เพื่มเติมในปัจจุบัน
ให้กับน้องๆ เพื่อเป็นแนวทาง
.
ข้อแรก
ผู้อ่านจะต้องตั้งใจเรียนในห้องเรียน พยายามเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดเมื่อไม่เข้าใจให้จดโน๊ตเอาไว้และ
เตรียมไปถามอาจารย์เมื่อจบคาบ ต้องพยายามให้เข้าใจในห้องให้ได้
.
เมื่อพยายามเข้าใจ+ถามอาจารย์แล้วยังไม่เข้าใจ ให้เรากลับไปทบทวนจากเนื้อหาที่เรียนกับ
อาจารย์และอาจจะหาหนังสือเล่มอื่นมาดูเสริมความเข้าใจก็ได้
.
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าที่เราไม่เข้าใจเพราะในอดีตพื้นฐานในเรื่องนั้นๆเราไม่แน่น อย่าปล่อยไว้ให้
รีบกลับไปทบทวนให้ได้ โดยสรุปคือ ต้องเข้าใจให้ได้ก่อนเรียนคาบต่อไป อย่าปล่อยให้กิดความ
สงสัยลังเลในเนื้อหา
.
หากไม่เข้าใจคาบต่อไปให้ถามอาจารย์ผู้สอน เพราะคนที่ให้คะแนนและออกข้อสอบคืออาจารย์ผู้
สอน บางคนไม่ถามอาจารย์เลือกที่จะเอาหนังสือเล่มอื่นมาอ่านเองซึ่งจะทำให้ช้าหรือกว้างไป
สำหรับนักศึกษาและผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ออกข้อสอบ
.
ดังนั้นให้พยายามถามอาจารย์ให้มากที่สุดแต่เราต้องทำการบ้านไปด้วย ไม่ใช่สักแต่ถามไม่เตรียม
ตัวอะไรไปเลยก็จะโดนตำหนิได้ หากโดนตำหนิอย่ากลัวที่จะถามเพราะความรู้เหล่านี้จะติดตัวเรา
ไม่จนตาย เลือกเอาอุตส่าห์ลงทุนมาเรียนแล้วต้องกอบโกย
.
ข้อสอง
.
เมื่อเรียนเสร็จให้ทวนเนื้อหาและก่อนที่จะเรียนคาบต่อไปก็ให้ทบทวนคืนก่อเรียนด้วยและสรุปตาม
ความเข้าใจของเราให้ได้ลงในหนังสือหรือชีสเรียน
.
ข้อสาม
.
ให้นัดติวกับเพื่อนๆก่อนสอบสัก 1 เดือน ติวจริงจัง อ่านกันทุกๆวัน การติวจะเหมือนเป็นการ
อธิบายว่าเราเข้าดีเนื้อหานั้นดีแค่ไหน หากเราไม่สามารถติวหรืออธิบายผู้อื่นได้แสดงว่าเรายังเข้า
ใจไม่ดีพอ ก็จะรู้จุดที่ควรจะต้องเติม
.
อีกอย่างนั้นการติว คือการรวมหัวกันสู้กับอาจารย์ 1 คน หากรวมตัวช่วยกันอย่าอิจฉากัน เมตตา
เพื่อน พยายามพาทุกคนไปถึงฝั่ง อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง คิดถึงเพื่อนๆร่วมชั้นด้วย แต่ละคนก็จะมี
ความคิด แนวทางที่ต่างกันที่จะแชร์ซึ่งกันและกัน ห้องติวนั้นคือหนึ่งประสบการณ์ดีๆในการเรียน
เลยทีเดียว ให้คิดว่าการติวจะสู้กับอาจารย์ได้ง่ายขึ้นเพราะเรามีหลายคน
.
การติวนั้นพอช่วงไม่หัวร้อนคือช่วงไม่ใกล้สอบก็จะไม่ขยันกัน จะติวเล่นๆนั้นไม่ได้ ต้องจริงจังและมี
วินัย ค่อยไปสบายหลังสอบเสร็จช่วง 1 เดือนนี้ต้องขยันอ่านเอง+ขยันนัดติว
.
ข้อสี่
โจทย์ทำเยอะยิ่งดี+ทฤษฎีต้องแน่น (ทฤษฎีแน่นคือถามอาจารย์ให้แน่น หนังสือนอกนั้นประมาณ
หนึ่งเพราะถ้าให้น้ำหนักเยอะเราจะมี eco ไม่ยอมถามอาจารย์ทำให้เราขาดทุนทั้งๆที่ถามแล้ว
ได้คำตอบเลยแต่กลับต้องไปวนหาเองเสียเวลา อีกทั้งมีหลายวิชาจะทำให้เราเหนื่อยเกินไป แต่การ
มีหนังสืออ้างอิงหลายๆเล่มผู้เขียนก็ว่าดีนะ แต่ผู้เขียนแนะนำสำหรับนักศึกษา เพราะต้องเรียน
หลายวิชา ควรตั้งใจเรียน+ถามอาจารย์ เป็นอันดับแรก)
.
ข้อที่ห้า
ออกกำลังกายด้วยเช่น วิ่ง เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายเราได้ออกแรงและเมื่อเราสงบ
เราจะมีสมาธิและไม่เครียด
.
ข้อที่หก
ออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง จะได้มีประสบการณ์ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่จะทำอะไรอื่นๆนั้นให้นึกถึงพ่อ
แม่ให้มากๆขอบคุณท่านให้มากๆ เราจะเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องเอง
.
ข้อที่เจ็ด
ไม่ต้องอยากคบเพื่อนมาก แค่คบเพื่อนที่ดีถึงแม้น้อยแต่ก็สงบและมีความสุข เมื่อเราเป็นคนดีจะมี
คนดีเข้ามาหาเราเอง คนดีจะนำสุขมาให้มากกว่าทุกข์
.
ข้อที่แปด
แต่งตัวให้นอกกรอบอย่างพอเหมาะพอควร อ่อนน้อมถ่อมตน อย่านินทาว่าอาจารย์จะทำให้ไม่เจริญ
.
ข้อที่เก้า
.
หากขออาจารย์อัดวิดีโอการสอนได้ให้ทำ เพราะการฟังซ้ำคือการเรียนรู้ที่ดีมากๆจะทำให้เรา
ได้รับเนื้อหาแบบเต็มๆแม้จะพลาดข้อความสำคัญก็สามารถฟังซ้ำได้
.
.
แม้ว่าตอนเรียนนั้นจะไม่เข้าใจว่าเรียนวิชานี้ไปทำไมหรือเราจะตั้งใจเรียนไปทำไม ขอให้ผู้อ่าน
ตั้งใจทำไปเรื่อยๆอย่างไม่ย่อท้อเรียนให้เข้าใจ เมื่อเราเรียนจบหรือถึงเวลาที่จะต้องนำมันมาใช้
ต่อยอดทำงาน ต่อป. โท ป.เอก เป็นต้น เราจะขอบคุณตัวเองที่เคยทำอะไรก็เต็มที่จนวันนี้
สามารถนำมาใช้ต่อได้และผลของความพยายามนั้นย่อมหอมหวานเสมอ